บทที่3 ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยา

               ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา


โลกที่เราอาศัยและทำกิจกรรมอันหลากหลายนี้   ถึงแม้จะเป็นของแข็ง   แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาด้วยแรงและพลังอันมากมาย   ถ้าโลกเคลื่อนไหวผิดปกติโดยทันทีทันใดจะเกิดปรากฏการณ์ทางธรณีที่เรียกว่า แผ่นดินไหว ซึ่งมีทั้งการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ทำให้พื้นดินสั่นไหวพอรู้สึกได้   จนกระทั่งถึงการเคลื่อนที่อย่างรุนแรง   ทำให้บ้านเรือนพังทลายและประชาชนเสียชีวิต   ดังตัวอย่างรายงานข่าวแผนดินไหวที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2543 และปี พ.ศ. 2544 ดังนี้  


แผ่นดินไหว


          รายงานข่าวแผ่นดินไหวของโลก
-    6  ตุลาคม 2543 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์   ที่ประเทศญี่ปุ่น บาทเจ็บ 130 คน บ้านเรือนเสียหาย 2,334 หลัง
-    24 มิถุนายน 2544 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ ที่ประเทศเปรู คนตาย 101 คน บาดเจ็บ 2,687 คน บ้านเรือนเสียหายกว่า 50,000 หลัง
-    26 ธันวาคม 2547 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ ที่บริเวณเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซียก่อให้เกิดสึนามิ   สร้างความเสียหายให้กับประเทศรอบชายฝั่งทะเลอันดามันและหมาสมุทรอินเดีย   คนตายประมาณ 250,000 คน บาดเจ็บประมาณ 500,000 คน ไร้ที่อยู่อาศัยประมาณ 2 ล้านคน



ถนนเอียงเทและทรุดหักจากการเกิดแผ่นดินไหว ที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538

          ยังมีอีกหลายประเทศที่เจอภัยพิบัติเกี่ยวกับแผ่นดินไหวอยู่เสมอ เช่น ที่รัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น   จากข้อมูลการเกิดสถิติแผ่นดินไหวในแต่ละปีพบว่า   ในปีหนึ่งๆ มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นทั่วโลกเฉลี่ยถึง 150,000 ครั้ง หรือกล่าวได้ว่าแต่ละวันจะมีการเกิดแผ่นดินไหวเกิดขึ้นถึง 400 ครั้ง และแต่ละครั้งมีความรุนแรงแตกต่างกัน   ตั้งแต่ไหวสะเทือนเล็กน้อยเกือบไม่รู้สึก   จนถึงเกิดความเสียหายอย่างมากต่อสิ่งก่อสร้างและสภาพแวดล้อม  
 
          
    แผ่นดินไหว เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกตามแนวระหว่างรอยต่อของ แผ่นธรณีภาค   ทำให้ชั้นหินขนาดใหญ่แตกหักหรือเลื่อนตัว   และถ่ายโอนพลังงานศักย์อย่างรวดเร็วให้กับชั้นหินที่อยู่ติดกันในรูปของ คลื่นไหวสะเทือน ซึ่งจะแผ่กระจายจากจุดกำเนิดไปทุกทิศทุกทางและสามารถเคลื่อนที่ผ่านตัวกลาง ต่างๆ   ภายในโลกขึ้นมาบนผิวโลกได้ดังแสดงภาพ 1.3 ตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดการไหวสะเทือนของแผ่นดินหรือเกิดแผ่นดินไหวเรียกว่า ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว (focus) ซึ่งอาจเกิดได้หลายจุดในพื้นที่ตามแนวรอยเลื่อน   ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวจะอยู่ใต้เปลือกโลกที่ระดับความลึกต่างๆ กัน


  การเคลื่อนที่ของคลื่นไหวสะเทือนจากแผ่นดินไหว

เริ่มต้นที่ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวซึ่งหินมีการเคลื่อนที่ตามแนวรอยเคลื่อนอย่างฉับพลัน
          ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวที่ลึกที่สุดเท่าที่วัดได้อยู่ที่ระดับ 696 กิโลเมตรใต้ผิวโลก   ตำแหน่งบนผิวโลกที่อยู่เหนือศูนย์กลางแผ่นดินไหว เรียกว่า จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว (epicenter) นักเรียนคิดว่ามีสาเหตุอะไรอีกที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
          แผ่นดินไหวนอกจากจะเกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกซึ่งเป็นกระบวนการ เปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติดังกล่าวแล้ว   ยังอาจเกิดสาเหตุอื่นๆ เช่น เกิดจากระเบิดของภูเขาไฟ   ในขณะที่แมกมาใต้ผิวโลกเคลื่อนตัวตามเส้นทางสู่ปล่องภูเขาไฟสามารถทำให้เกิด แผ่นดินไหวก่อนที่ระเบิดออกมาเป็นลาวา   หรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การทดลองระเบิดปรมาณูใต้ดิน    การระเบิดพื้นที่เพื่อสำรวจลักษณะของหินสำหรับวางแผนการก่อสร้างอาคารและ เขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น
          ข้อมูลของคลื่นแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทั่วโลกสามารถบันทึกได้ด้วยเครื่อง “ไซสโมกราฟ” (seismo-graph) ที่ทีเครือข่ายอยู่เป็นจำนวนมากทั่วโลกเครื่องมือนี้ประกอบด้วยเครื่องรับ คลื่นไหวสะเทือนและแปลงสัญญาณคลื่นไหวสะเทือนเป็นสัญญาณไฟฟ้า   จากนั้นสัญญาณไฟฟ้าจะถูกขยาย   แล้วแปลงกลับเป็นคลื่นไหวสะเทือนอีกครั้งเพื่อบันทึกกระดาษเป็นกราฟ


กราฟแสดงคลื่นไหวสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่บันทึกด้วยเครื่องไซสโมกราฟ

          โดยปกติแผ่นดินไม่ได้อยู่ในสภาพนิ่งสงบ   แต่จะมีการไหวสะเทือนเช่นเดียวกับแผ่นน้ำซึ่งอาจจะเกิดจากการสั่นสะเทือนของ พื้นผิวที่เกิดจากการขับขี่ยานพาหนะเกิดจากดินถล่มหรือเกิดจากคลื่นซัดฝั่ง เป็นต้น แรงสะเทือนหรือคลื่นไหวสะเทือนดังกล่าวเกิดอยู่ตลอดเวลา   ซึ่งททราบได้จากข้อมูลที่ปรากฏในเครื่องไซสโมกราฟที่ติดตั้งไว้ตามสถานที่ ต่างๆ
          เมื่อเกิดแผ่นดินไหว   พลังงานที่ถูกปลดปล่อยจะอยู่ในรูปของ คลื่นไหวสะเทือน 2 ชนิด คือ คลื่นในตัวกลาง ซึ่งเป็นที่คลื่นแผกระจายเป็นวงรอบๆ ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ คลื่นปฐมภูมิหรือคลื่น P เป็นคลื่นตามยาว   ซึ่งอนุภาคตัวกลางที่คลื่น P เคลื่อนที่ผ่านจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนที่ของคลื่น คลื่น P สามารถเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่เป็นทั้งของแข็ง ของเหลว และแก๊ส คลื่นชนิดที่ 2 คือคลื่นทุติยภูมิหรือคลื่น S เป็นคลื่นตามขวาง   ซึ่งอนุภาคของตัวกลางที่คลื่น S เคลื่อนที่ผ่านและเคลื่อนที่ตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของลื่น คลื่น S สามารถเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่เป็นของแข็งเท่านั้น   คลื่นไหวสะเทือนอีกชนิดหนึ่ง   คือ คลื่นพื้นผิว เป็นคลื่นที่เคลื่อนแผ่กระจายออกไป 2 ชนิด คือ L (Love wave) เป็นคลื่นที่ทำให้อนุภาคตัวกลางสั่นเป็นแนวราบ  โดยมีทิศทางตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น อีกชนิดหนึ่งคือ คลื่น R (Rayleigh wave) เป็นคลื่นที่ทำให้อนุภาคตัวกลางสั่นเป็นวงรี    ในทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น เป็นเหตุให้พื้นผิวโลกมีการสั่นขึ้นลง
        

          จากข้อมูลในอดีต   นักธรณีวิทยาพบว่าตำแหน่งศูนย์เกิดแผ่นดินไหวสัมพันธ์กับแนวรอยต่อของแผ่น ธรณีภาค    แนวรอยต่อที่สำคัญที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว   มีอยู่ 3 แนว  (1) แนวรอยต่อที่เกิดล้อมรอบมหาสมุทรแปซิฟิก   เป็นบริเวณขอบมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมด   จัดเป็นบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวค่อนข้างรุนแรงและมากที่สุด   คิดเป็นร้อยละ 80 ของการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลก เรียกว่า วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ด้านตะวันตกของประเทศเม็กซิโก และด้านตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา (2) แนวรอยต่อภูเขาแอลป์ในทวีปยุโรปและภูเขาหิมาลัยในทวีปเอเชียเป็นแหล่งที่ เกิดแผ่นดินไหวประมาณร้อยละ 15 ได้แก่ บริเวณประเทศพม่า อัฟกานิสถาน อิหร่าน ตุรกี และแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรป   แผ่นดินไหวในบริเวณนี้มีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวระดับตื้นและลึกปานกลาง และ (3) แนวรอยต่อที่เหลืออีกร้อยละ 5 เกิดในบริเวณแนวสันกลางมหาสมุทรต่างๆ ของโลก   ได้แก่  บริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติกแนวสันเขาใต้มหาสมุทรอินเดีย และอาร์กติก ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวบริเวณนี้อยู่ที่ระดับตื้นและเกิดแนวแคบๆ

แนวการเกิดแผ่นดินไหวของโลก

       
ขนาดและความรุนแรงของแผ่นดินไหว
          ขนาดของแผ่นดินไหว   กำหนดจากปริมาณพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากศูนย์เกิดแผ่นดินไหว   ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ชื่อ ๙ร์ลส เอฟ ริกเอตร์ (Charles F.Richter) เป็นคนแรกที่คิดค้นสูตรการวัดขนาดของแผ่นดินไหว   โดยทั่วไปขนาดของแผ่นดินไหวที่น้อยกว่า 2.0 ริกเตอร์   จัดเป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็กมาก   ขนาดแผ่นดินไหวตั้งแต่ 6.3 ริกเตอร์ขึ้นไป   จัดเป็นแผ่นดินไหวรุนแรง  จากสถิติที่ผ่านมา   แผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดคือขนาดประมาณ 9.2-9.5 ริกเตอร์   ได้แก่   แผ่นดินไหวที่ประเทศชิลี   เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ส่วนแผ่นดินไหวที่เมองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2538 มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 5,000 คน มูลค่า ความเสียหายไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านล้านบาท เป็นต้น

 ความเสียหายจากแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ  เมื่อวันที่  17 มกราคม พ.ศ. 2538  ถนนเหนือสถานีรถไฟใต้ดินพังทลายลงเป็นร่องยาว
          ความรุนแรงของแผ่นดินไหว   กำหนดจากผลกระทบหรือความเสียหายจากแผ่นดินไหวที่เกิดบนผิวโลก ณ จุดสังเกต มาตราวัดความรุนแรงของแผ่นดินไหวกำหนดจากความรู้สึกของอาการตอบสนองของผู้ คน  การเคลื่อนที่ของเครื่องเรือนและของใช้ภายในบ้าน   ตลอดจาความเสียหายของบ้านเรือนจนถึงที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังพินาศ   ซึ่งมาตราวัดความรุนแรงนี้มีการพัฒนาขึ้นมาใช้หลายมาตรา  แต่ที่นิยมกันมากที่สุดคือ มาตราเมอร์คัลลีซึ่งแบ่งเป็น 12 ระดับ

วิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัยจากแผ่นดินไหว
1. ควบคุมสติอย่างตื่นตระหนกเกินเหตุ   หยุดการใช้ไฟฟ้า ไฟแช็กและไฟจากเตาแก๊ส และควรมีไฟฉายประจำอยู่ภายในบ้าน
2. ถ้าอยู่ในบ้าน   ควรอยู่ห่างจากประตู  หน้าต่าง กระจก และระเบียงบ้าน และให้ระวังของใช้ในบ้านและสิ่งก่อสร้างต่างๆ หล่นทับ   และเพื่อป้องกันสิ่งของร่วงหล่นใส่   ให้มุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะที่แข็งแรง   เมื่อแผ่นดินหยุดไหวให้รีบออกจากบ้านหรืออาคารทันที   โดยอยู่ให้ห่างจากอาคารสูง กำแพง สะพานและเสาไฟฟ้า ซึ่งอาจพังลงมาได้
3. ถ้าอยู่ในตึกสูง   ให้มุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะที่แข็งแรงเพื่อป้องกันสิ่งของร่วงหล่นใส่   อย่าวิ่งออกไปภายนอกเพราะบันไดอาจพังลงได้และห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด
4. ถ้ากำลังขับรถให้หยุดรถและอยู่ในรถจนแผ่นดินหยุดไหว
5. ถ้าอยู่ใกล้ชายทะเล   ให้รีบออกจากชายฝั่งไปอยู่บนที่สูง   เพราะอาจมีสึนามีเกิดขึ้นได้
6. เรียนรู้และติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวจากสื่อต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมและวางแผนเตรียมรับภัยจากแผ่นดินไหวได้อย่างมีสติและปลอดภัย


ตาราง ระดับและความรุนแรงของแผ่นดินไหว
ระดับ ลักษณะความรุนแรง
I คนไม่รู้สึกถึงการสั่นไหว   แต่เครื่องมือตรวจจับสัญญาณได้
II รู้สึกได้เฉพาะคนที่อยู่นิ่งๆ หรืออยู่บนอาคารสูงๆ สิ่งของแกว่งไกวช้าๆ เล็กน้อย
III คนในบ้านรู้สึกเล็กน้อยเหมือนรถบรรลุเล็กแล่นผ่านและพอจะประมาณความนานของการสั่นไหวได้   แต่คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
IIIV คนส่วนมากที่อยู่ในบ้านและบางส่วนที่อยู่ข้างนอกรูสึกเหมือนรถบรรทุกหนักแล่นผ่าน รถยนต์ที่จอดอยู่จะโยก   ของในบ้านสั่นไหว
IV รู้สึกได้เกิดทุกคน   ของชิ้นเล็กจะเคลื่อนที่   ลูกตุ้มนาฬิกาอาจหยุด
V ทุกคนรู้สึกได้   คนที่เดินอยู่จะเอียงเซ   เครื่องเรือนหนักอาจเคลื่อนที่   ต้นไม้สั่นไหวชัดเจน   เกิดความเสียหายเล็กน้อย
VII ทุคนวิ่งออกนอกอาคาร  ยืนได้ไม่มั่นคง   คนขับรถอยู่สามารถรู้สึกการสั่นไหว   อาคารมาตรฐานปานกลางเสียหายเล็กน้อย   เกิดคลื่นน้ำในบึง
VIII มีผลต่อการบังคับรถ   อาคารที่ออกแบบพิเศษเสียหายเล็กน้อย   อาคารมาตรฐานปานกลางเสียหายชัดเจนและบางส่วนพังทลาย   อาคารมาตรฐานต่ำเสีย
IX อาคารออกแบบพิเศษเสียหายชัดเจน   อาคารมาตรฐานสูงจะเคลื่อนหนีศูนย์    อาคารมาตรฐานปานกลางเสียหายและพังทลาย   สิ่งก่อสร้างเคลื่อนจากฐาน แผ่นดินแยก
X อาคารไม้ปลูกสร้างดีบางหลักถูกทำลาย   ตึกส่วนใหญ่ถูกทำลายพร้อมฐานราก   แผ่นดินแยกถล่มเป็นบริเวณกว้าง   รางรถบิดงอ   ดินริมตลิ่งและที่ชันจะถล่ม   โคลนทรายพุ่งขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน   น้ำกระเซ็นขึ้นตลิ่ง
XI อาคารพังทลายเกือบหมด   สะพานถูกทำลาย   แผ่นดินแยกอย่างชัดเจนรางรถบิดงออย่างมากท่อใต้ดินเสียหายไม่สามารถใช้การ ได้   ดินถล่มและเลื่อนไหล
XII ทุกสิ่งโดยรวมถูกทำลาย   พื้นดินเป็นลอนคลื่น   แนวระดับสายตาบิดเบี้ยวไป  วัตถุกระเด็นขึ้นไปในอากาศ
          
         
         ประเทศไทยกับปรากฏการณ์แผ่นดินไหว
         จากลักษณะทางธรณีวิทยา   ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่แผ่นดินไหว   และอยู่นอกแนวรอยต่อของธรณีภาค   โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยจึงค่อนข้างน้อย   สาเหตุที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยอาจเกิดจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่นอก ประเทศ   แล้วส่งแรงสั่นสะเทือนมายังประเทศไทย   ส่วนใหญ่จะมีแหล่งกำเนิดจากตอนใต้ของประเทศจีน พม่า ลาว บริเวณทะเลอันดามันและตอนเหนือของเกาะสุมาตรา   ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในแนวนี้   จะทำให้พื้นที่ในประเทศไทยบริเวณภาคเหนือ   ภาคใต้   ภาคตะวันตก   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   และกรุงเทพฯ   เกิดการสั่นไหวที่รู้สึกได้
          ข้อมูลแผ่นดินไหวของประเทศไทยในอดีตส่วนใหญ่บันทึกอยู่ในเอกสารประเภทปูม พงศาวดารศิลาจารึก   และบางส่วนของประวัติศาสตร์   ดังเช่นที่โยนก เกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 1003 ในวันเสาร์ แรม 7 ค่ำ เดือน 7 เวลากลางคืน   มีผู้บันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า “สุริยอาทิตย์ตกไปแล้ว   ก็ได้ยินเสียงเหมือนดังแผ่นดินไหว   ประดุจดังว่าเวียงโยนกนครหลวงที่นี้จักเคลื่อนจักพังไปนั้นแล   แล้วก็หายไปครั้งหนึ่ง   ครั้นถึงมัชฌิมยานก็ดังซ้ำมาเป็นคำรับสอง   แล้วก็หายไปนั้นแล   ถึงปัจฉิมยามก็ซ้ำดังมาอีกเป็นคำรบสามหนที่สามนี้ดังยิ่งกว่าทุกครั้งทุก คราวที่ได้ยินมาแล้วกาลนั้นเวียงโยนกนครที่นั้นก็ยุบจมลง   เกิดเป็นหนองอันใหญ่  ยามนั้นคนทั้งหลายอันมีในเวียงที่นั้นก็วินาศฉิบหายตกไปในน้ำที่นั้นสิ้น
          และเมื่อปี พ.ศ. 1077 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 เวลาช้า เกิดแผ่นดินไหว   ซึ่งมีผู้บันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า “ยามสู่รุ่ง   แผ่นดินไหว   ยอดเจดีย์หักลงสี่แห่ง”

          สึนามิ (Tsunami)
          สึนามิ (Tsunami) เป็นคลื่นไหวสะเทือนที่เกิดในทะเลจากการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งของพื้นทะเลตาม แนวรอยเคลื่อนที่มีพลัง   โดยอาจเกิดจากแผ่นดินถล่มในทะเลสำหรับแผ่นดินไหวในทะเลส่วนมาก   จะเกิดขึ้นบริเวณแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรมุดเข้าใต้แผ่นธรณีภาค   พื้นที่ทวีปแต่แผ่นดินไหวที่เกิดในบริเวณนี้ไม่จำเป็นจะต้องทำให้เกิดสึนามิ เสมอไป   โดยสึนามิจะเกิดหลังจากเกิดแผ่นดินไหวในทะเลที่มีขนาดมากกว่า 7.0 ริกเตอร์ขึ้นไป   มีการเคลื่อนที่ของรอยเลื่อยเป็นระยะทางยาว   พื้นทะเลมีการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งทำให้น้ำทะเลจากที่ต่างๆ ไหลลงสู่พื้นที่รอยเลื่อนเหล่านั้นเกิดการลดระดับของน้ำทะเลอย่างผิดปกติใน ทันทีทันใด
         หลังจากนั้นบริเวณน้ำทะเลที่ไหลไปรวมกันบริเวณรอยเลื่อนจะมีระดับสูงขึ้น  เกิดเป้นคลื่นที่มีพลังงานสูง   เคลื่อนที่ออกจากแห่งต้นกำเนิดทุกทิศทาง   และเคลื่อนสู่น้ำตื้นบริเวณชายฝั่งจะเปลี่ยนสภาพจากคลื่นที่มีความยาวมากและ มีแอมพลิจูดสูง   เมื่อเคลื่อนที่เข้าสู่ฝั่งจะมีพลังในการทำลายสูงมาก   ดังเช่น   สึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 หลังจากเกิดแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ สุมาตรา ด้วยขนาด 9.0 ริกเตอร์    เมื่อเวลาประมาณ 8.00 น. และเกิดแผ่นดินไหวใต้น้ำทะเลในบริเวณนั้นร่วมด้วยหลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง 35 นาที   คลื่นขนาดใหญ่มีพลังมหาศาลของสึนามิก็ถาโถมเข้าสู่ชายฝั่งทะเลอันดามันของ ประเทศไทย   และได้สร้างความเสียหายทั้งด้านทรัพย์สินและชีวิตผู้คนมากที่สุดใน ประวัติการเกิดพิบัติภัยธรรมชาติในประเทศไทย


          ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดสึนามิ
1.     เมื่อมีคำเตือนเรื่องการสึนามิถ้าบ้านอยู่ริมทะเลให้รีบออกจากบ้านไปอยู่ใน ที่ที่ปลอดภัยห่างจากทะเลหรือตามสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้ให้
2.    ถ้าอยู่บริเวณชายหาดริมทะเลและมีความรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหวให้รีบขึ้นฝั่ง ทันที   และรีบขึ้นไปอยู่บนที่สูงในพื้นที่ข้างเคียง   โดยไม่ต้องรอสัญญาณเตือนภัยเรื่องสึนามิ
3.    ให้อยู่ห่างจากแม่น้ำหรือทางน้ำที่เชื่อมต่อกับทะเล   เพราะกระแสน้ำจากสึนามิซัดซาดเป็นอันตรายได้
4.    โดยทั่วไปสึนามิจะเกิดหลังจากเกิดแผ่นดินไหวเป็นระยะเวลานานพอสมควร   ซึ่งประชาชนมีเวลาเพียงพอที่จะอพยพขึ้นไปอยู่บนที่สูงได้   โดยระดับน้ำทะเลที่ลดลงทันทีทันใดอย่างผิดปกติและการสั่นไหวของแผ่นดินจะ เป็นปรากฏการณ์บ่งชี้การเกิดสึนามิได้
5.    เมื่อมีคำเตือนเรื่องการเกิดสึนามิให้อยู่ห่างจากพื้นที่ลุ่มต่ำริมทะเลและ ถ้าอยู่ในทะเลให้ลำเรือออกสู่ทะเลลึก   โดยพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ชายฝั่งทั้งก่อนออกไปทะเลลึกและการที่จะนำ เรือกลับเข้าฝั่ง
-    แผ่นดินไหวทั้ง 2 ครั้งที่บันทึกไว้นี้ทีความรุนแรงระดับใด
          บันทึกเกี่ยวกับแผ่นดินไหวของประเทศไทยในรูปแบบข้างต้นนี้   มีมาจนถึงประมาณปี พ.ศ. 2088 เกิดแผ่นดินไหวที่นครเชียงใหม่   จนยอดเจดีย์หลวงที่สูง 86 เมตร หักพังลงมาเหลือเพียง 50 เมตร


  เจดีย์ที่วัดเจดีย์หลวง   จังหวัดเชียงใหม่   ยอดเจดีย์หักพังลงมาเนื่องจากแผ่นดินไหว
ในปี พ.ศ. 2088 รูปเล็กเป็นโครงสร้างเดิมของเจดีย์ก่อนที่จะเกิดแผ่นไหว
(ภาพโดย สุรพล   ดำริห์กุล, จากหนังสือแผ่นดินล้านนา ; 2539)

         เมื่อปี พ.ศ. 2506 ประเทศไทยมีการติดตั้งเครื่องตรวจวัดแผ่นดินไหวครั้งแรก   และได้มีการรายงานแผ่นดินไหวครั้งแรก   และได้มีการรายงานแผ่นดินไหวหลายครั้ง   เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ที่กรุงเทพฯ   เมื่อวันที่  17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 มีศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอท่าสองยาง   จังหวัดตาก   ใกล้กับรอยเลื่อนที่เรียกว่ารอยเลื่อน เมย-วังเจ้า   นอกจากนั้นมีบันทึกการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้อ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์   เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2526 คนในทุกจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเกิดความเสียหาย ที่บริเวณศูนย์กลางแผ่นดินไหว   และกรุงเทพมหานคร
          ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานีตำรวจวัดแผ่นดินไหว 20 แห่ง   จึงตรวจวัดแผ่นดินไหวได้บ่อยครั้งขึ้น   พบว่ามีแผ่นดินไหวขนาดที่รู้สึกได้แต่ไม่รุนแรง   เกิดขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5-6 ครั้งต่อปี
          แผ่นดินไหวที่เกิดจากแนว รอยเลื่อนมีพลัง (active fault) ซึ่งเป็นแนวรอยเลื่อนบนเปลือกโลกที่ยังสามารถเคลื่อนที่ได้   ในประเทศไทยแนวรอยเลื่อนเหล่านี้ส่วนมากอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันตกของ ประเทศ เช่น รอยเลื่อนเชียงแสน    รอยเลื่อนแม่ทา   รอยเลื่อนเถิน   รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์   และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์   ส่วนภาคใต้มีรอยเลื่อนระนอง   และรอยเลื่อนคลองมะลุ่ย เป็นต้น 

 รอยเลื่อนที่สำคัญในประเทศไทย(ธรณีวิทยาประเทศไทย   กรมทรัพยากรธรณี : 2544)

          เนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวจะมีศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว   และมักจะมีรอบของการเกิดที่เรียกว่า คาบอุบัติซ้ำ ซึ่งหมายถึงระยะเวลาครบรอบของแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้น   ณ ที่นั้นแล้วกลับมาเกิดซ้ำในที่เดิมอีก   อาจเป็นร้อยปีหรือพันปี หรือน้อยกว่านั้น   จากการศึกษารอยเลื่อนมีพลัง   จะทำให้ทราบถึงศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวที่มักจะปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ตาม แนวรอยเลื่อน เช่น การเคลื่อนที่ของชั้นตะกอนและดินจากบริเวณรอยเลื่อนสามารถนำมาคำนวณหาคาบ อุบัติซ้ำได้   ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้มีแนวทางที่สามารถพยากรณ์การเกิดแผ่นดินไหวในอนาคตได้ สำหรับประเทศไทย   กรมทรัพยากรธรณีได้สำรวจและกำหนดเขตพื้นที่เสี่ยงภัยจากแผ่นดินไหวระดับ ต่างๆ 


  แผนที่แสดงเขตพื้นที่เสี่ยงภัยจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย
(จากกรมทรัพยากรธรณี  ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 พ.ศ. 2548
)


         หลังจากที่กรมทรัพยากรธรณีได้เผยแพร่   แผนที่บริเวณเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวของประเทศในปี พ.ศ. 2538 ต่อมาได้ประกาศในกฎกระทรวงมหาดไทย   เมื่อปี พ.ศ. 2540 และได้มีการปรับปรุงแผนที่บริเวณเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวของประเทศไทยอีกเป็น ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2548 เพื่อใช้ควบคุมการออกแบบอาคารให้สามารถต้านแรงสั่นสะเทือนต่อแผ่นดินไหว ได้   ขณะนี้ใช้บังคับเฉพาะกับอาคารสาธารณะที่มีประชาชนใช้สอยมาก   เช่น โรงพยาบาล หอประชุม โรงมหรสพ และโรงแรม เป็นต้น   นอกจากนั้นยังบังคับใช้กับอาคารที่เก็บวัสดุอันตราย   ประเภทวัสดุไวไฟ   วัตถุระเบิด   ส่วนอาคารทั่วไปจะใช้บังคับกับอาคารที่สูงเกิน 15 เมตร (ประมาณ 5 ชั้น) ขึ้นไป   พื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงจากการเกิดแผ่นดินไหวค่อนข้างสูงมีอยู่ด้วยกัน 3 จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน และตาก ในเขต 2ข ส่วนพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยลงไปอยู่ในเขต 2ก ได้แก่ จังหวัดพะเยา เชียงใหม่ น่าน ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร กาญจนบุรี นครปฐม ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปาการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และจังหวัดในชายฝั่งทะเลอันดามันทั้งหมด   ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
         ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ภูเขาไฟระเบิด ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนในหัวข้อต่อไป

         ภูเขาไฟ

          ในยามปกติ   ภูเขาเป็นธรณีสัณฐานลักษณะหนึ่งบนพื้นผิวโลกที่มีทรัพยากรธรรมชาติมาก   และประดับโลกให้สวยงาม   แต่ยังมีภูเขาที่เป็นลักษณะพิเศษคือสามารถพ่นสารละลายร้อน   และเถ้าถ่าน ตลอดจนเศษหินจากภายในโลกออกสู่พื้นผิวโลกได้เราเรียกว่า ภูเขาไฟ
 

ภูเขาไฟ ณ อุทยานแห่งชาติเทือกเขาร็อกกี้ โคโลราโด   สหรัฐอเมริกา   ได้ระเบิดเมื่อประมาณ 24-29 ล้านปี
ที่ผ่านมา   พ่นตะกอนภูเขาไฟออกมาทับถมกันเป็นภูเขายอดมน

          ภูเขาไฟมีทั้งที่ดับแล้วและยังมีพลังอยู่   ภูเขาไฟที่ดับแล้วเป็นภูเขาไฟที่เกิดขึ้นมานานมากอาจเป็นหลายแสนหลายล้าน ปี   และวัตถุส่วนที่พ่นออกมาก็แข็งตัวกลายเป็นหินภูเขาไฟบนพื้นผิวโลก   ส่วนภูเขาไฟที่ยังมีพลังเป็นภูเขาไฟที่มีการระเบิดค่อนข้างถี่และอาจจะ ระเบิดอีก   โดยมีประวัติการระเบิดไม่เกิน 10,000 ปีที่ผ่านมา   ปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีภูเขาไฟที่มีพลังอยู่ประมาณ 1,300 ลูก   แต่มีภูเขาไฟที่ดับแล้วมากมายที่กลายเป็นภูเขา   และเทือกเขาที่สำคัญของโลก    ภูเขาไฟบนโลกนี้ไม่ได้เกิดกระจัดกระจายไปทั่ว   แต่มีอยู่เฉพาะเขตเท่านั้น   ถ้าเราลองนึกถึงประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี นิวซีแลนด์ และรัฐฮาวายของประเทศสหรัฐอเมริกา   จะเห็นว่าประเทศเหล่านี้ในปัจจุบันยังคงมีรายงายเรื่องภูเขาไฟระเบิด  และเมื่อพิจารณาจากแผนที่และเห็นว่าประเทศเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันโดยตั้ง อยู่ตามขอบนอกของพื้นทวีป   เป็นแนวไปจนถึงกลางมหาสมุทรแปซิฟิกความคิดเหล่านี้จึงควรจะเป็นคำตอบได้ว่า ภูเขาไฟไม่ได้เกิดทั่วไป   แต่จะเกิดเป็นแนว เป็นเขต หรือเป็นโซน ในบางบริเวณของเปลือกโลก

ลักษณะการระเบิดของภูเขาไฟ พินาตูโบ เกาะลูซอน ประเทศฟิลิปินส์
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2534


      ภูเขาไฟระเบิด


โครงสร้งของภูเขาไฟ
          ภูเขาไฟระเบิดเกิดจากการปะทุของแมกมา แก๊ส และเถ้าจากใต้เปลือกโลก   ก่อนการระเบิดมักจะมีสัญญาณบอกเหตุให้รู้ล่วงหน้า เช่น แผ่นดินในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเกิดการสั่นสะเทือน   มีเสียงคล้ายฟ้าร้องติดต่อกันเป็นเวลานาน   เสียงที่ดังออกมานั้นเกิดจากการเคลื่อนไหวของแมกมา แก๊สต่างๆ และไอน้ำ ที่ถูกอัดไว้   เมื่อเกิดการระเบิด ลาวา เศษหิน ฝุ่นละออง เถ้าถ่านภูเขาไฟจะถูกพ่นออกมาทางปล่องภูเขาไฟหรือออกมาทางช่องด้านข้างของภูเขาไฟหรือจากรอยแตกรอยแยกของภูเขาไฟ   แมกมาเมื่อขึ้นมาสู่พื้นผิวโลกเรียกว่า ลาวา (lava)   ลาวาที่ออกมาสู่พื้นผิวโลกจะมีอุณหภูมิสูงถึง  \displaystyle 1,200^0C ไหลไปตามความลาดเอียงของพื้นที่   ส่วนแก๊สที่ออกมาด้วยก็จะล่องลอยออกไปเป็นฟองอากาศทำให้ลาวาร้อนที่ไหลอยู่ คงพุงเหมือนน้ำพุร้อน   ต่อเมื่อลาวาเย็นตัวและแข็งตัวจะกลายเป็นหินบะซอลต์   ซึ่งมีรูอากาศเป็นช่องอยู่ในเนื้อหิน   ส่วนลาวาที่มีปริมาณของธาตุซิลิคอนมากและถูกพ่นขึ้นมากองอยู่รอบๆ ปล่องภูเขาไฟ   เมื่อเย็นตัวและแข็งตัวจะเป็นหินแอนดีไซต์ไรโอไลต์ และ ออบซิเดียน เป็นต้น


การระเบิดของภูเขาไฟ

          การระเบิดของภูเขาไฟอีกรูปอีกรูปแบบหนึ่ง   เป็นการระเบิดของหินหนืดแมกมา   ซึ่งโดยทั่วไปแมกมาจะมีแก๊สอยู่ด้วย   เมื่อแมกมาเคลื่อนขึ้นมาใกล้ผิวโลกตามช่องเปิด   แก๊สต่างๆ ที่ละลายอยู่จะแยกตัวออกเป็นฟองแก๊สจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น   และขยายตัวอย่างรวดเร็วความหนืดขิงแมกมาตรงที่เกิดฟองจะเพิ่มสูงขึ้นตามไป ด้วยจนเกิดแตกร้าวของฟองแก๊สพร้อมๆ กับการขยายตัวแล้วเกิดการระเบิดออกอย่างรุนแรงพ่นชิ้นส่วนภูเขาไฟออกมา   ส่วนมากเป็นเศษหินผลึกแร่ เถ้าภูเขาไฟ และฝุ่นภูเขาไฟ   ชิ้นส่วนภูเขาไฟ   เมื่อถูกระเบิดออกมาก็ปลิวฟุ้งไปในอากาศ   ต่อมาก็จะตกลงมาสะสมตัวบนผิวโลกทั้งในน้ำและบนบก   ส่วนชิ้นส่วนภูเขาไฟที่ยังมีไอน้ำและแก๊สประกอบอยู่ภายในที่มีอุณหภูมิและ ความดันสูง   เมื่อขยายตัวก็จะไหลพุ่งออกมาจากช่องที่เปิดอยู่สู่ผิวโลก แล้วไหลไปตามความลาดชันของพื้นที่ไปสะสมตัว ณ ที่หนึ่งชิ้นส่วนภูเขาไฟที่เกิดในลักษณะนี้   เมื่อเย็นตัวและแข็งตัวเป็นหินเรียกว่า หินตะกอนภูเขาไฟ (pyroclastic   rock)
          หินตะกอนภูเขาไฟ   เรียกชื่อตามขนาดและลักษณะของชิ้นส่วนที่พ่นออกมา เช่น   เถ้าภูเขาไฟขนาด 0.06-2 มิลลิเมตร   เมื่อแข็งตัวเป็นหินเรียกว่า หินทัฟฟ์ (tuff) ชิ้นส่วนภูเขาไฟที่ขนาดใหญ่กว่า 64 มิลลิเมตร   ถ้าเป็นเหลี่ยมเรียกว่า บล็อก  เมื่อแข็งตัวเป็นหินเรียกว่า หินกรวดเหลี่ยมภูเขาไฟ ถ้ารูปร่างกลมมนเพราะเย็นอย่างรวดเร็วในอากาศเรียกว่า บอมบ์ (bomb) เมื่อแข็งตัวเป็นหินเรียกว่า หินกรวดมนภูเขาไฟ 

หินทัฟฟ์ และรอยคดโค้งจังหวัดนครนายก


หินกรวดเหลียมภูเขาไฟ   บริเวณน้ำตกวังม่วงอำเภอเมือง จังหวัดปราจีน

          ถ้าพิจารณาส่วนประกอบที่เด่นของหินบางชนิด เช่น แก้ว (silicate glass) ที่ไม่มีรูปผลึก   เกิดจากการเย็นตัวและแข็งตัวอย่างรวดเร็วของแมกมา   จะเป็นก้อนแก้วที่มีรูพรุน   เต็มไปด้วยฟองแก๊สที่ยังไม่แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ แต่จากแรงระเบิดทำให้แตกออกเป็นก้อน   มีน้ำหนักเบาลอยน้ำได้ เรียกว่าพัมมิซ (pumice)


          จากการสำรวจหินภูเขาไฟโดยทั่วไป   พบว่ามีลักษณะแตกต่างกัน   หินภูเขาไฟบางก้อนจะมีเนื้อผลึกละเอียดประกอบด้วยแร่ต่างๆ ทั้งสีจาง สีเข้ม บางก้อนมีเนื้อแก้วสีเข้ม บางก้อนมีลักษณะเป็นเศษหินมารวมกัน   บางก้อนเนื้อหินมีรูพรุน เป็นต้น

          ภูมิลักษณ์ของภูเขาไฟ   หรือลักษณะรูปร่างของพื้นที่ภูเขาไฟจะแตกต่างกับบริเวณอื่น   คือหลังการะเบิดของภูเขาไฟจะมีทั้งภูมิลักษณ์ที่เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นมา ใหม่ เช่น ที่ราบสูงบะซอลต์ เกิดจากลาวาไหลแผ่เป็นบริเวณกว้างและทับถมกันหลายชั้น   เมื่อแข็งตัวก็กลายเป็นที่ราบและเนินเขา ส่วนภูเขาไฟรูปโล่เกิดจากลาวาของหินบะซอลต์ระเบิดออกมาแบบมีท่อ   ลาวาส่วนหนึ่งจะทับถมกันเป็นสันนูนเหมือนภูเขาไฟเดิมขยายตัวออก   ปล่องภูเขาไฟเล็กๆ บนยอดจะจมลงไป   ตัวอย่างเช่น บริเวณ ภูเขาไฟมัวนาลัวในหมู่เกาะฮาวาย เป็นต้น

ลักษณะของภูเขาหินบะซอลต์ บ้านซับบอน อำเภอบึงสามพน จังหวัดเพชรบูรณ์

          ภูเขาไฟรูปกรวย   เป็นแบบที่เกิดขึ้นและรูจักกันมากที่สุด   เป็นรูปแบบภูเขาไฟที่สวยงามที่สุดเกิดจากการทับถมซ้อนกันหรือสลับกันระหว่าง การไหลของลาวากับชิ้นส่วนภูเขาไฟ เช่น ภูเขาไฟฟูจิยามาในประเทศญี่ปุ่น  ภูเขาไฟเซนต์เฮเลนส์ ในประเทศสหรัฐอมริกา   และภูเขาไฟมายอน   บนเกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ภูเขาไฟ เซนต์เฮเลนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนการระเบิดรุนแรง   เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2523 มีรูปร่างเป็นภูเขาไฟรุปกรวย (ตามแนวเส้นประ) แต่หลังการระเบิดยอดเขาพังทลายลง   จึงเห็นปล่องภูเขาไฟอยู่บนยอดเขาดังภาพ

          สำกรับภูมิลักษณ์อีกลักษณะหนึ่งเกิดจาการทำลายของภูเขาไฟ เช่น ภูมิลักษณ์ที่ได้จากการระเบิด   และปล่องภูเขาไฟที่เกิดจากการระเบิดซึ่งจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และในบางแห่งการระเบิดทำให้พื้นที่ภูเขาไฟเดิมถูกทำลายหายไปด้วย
          นอกจากนี้การทรุดตัวของภูเขาไฟและการกัดเซาะผุพง   ก็ยังทำให้พื้นที่ภูเขาไฟหายไปและทำให้ภูเขาไฟมีรูปร่างเปลี่ยนไปด้วย เช่น ภูเขาไฟซันเซต ประเทศสหรัฐอเมริกา 


ภูเขาไฟซันเซต ประเทศสหรัฐอเมริการะเบิด
เมื่อปี พ.ศ. 1607-1608 บริเวณร่องลึกตรงกลางคือปล่องภูเขาไฟ

          หลังจาการระเบิดของภูเขาไฟ จะเห็นปรากฏการณ์   อีกอย่างหนึ่งที่เกิดตามมาคือโคลนไหล   เนื่องจากการระเบิดจะทำให้อากาศแปรปรวน   ต่อมามักจะมีฝนตกหนัก   น้ำฝนจะชะล้างเถ้าฝุ่น เศษหินจากการระเบิดไหลลงสู่ที่ต่ำด้วยความเร็วสูง   และทำความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างที่อยู่อาศัย   ตลอดจนถึงชีวิตของประชาชนด้วย
          การระเบิดของภูเขาไฟ   ไม่ว่าจะทำให้เกิดภูเขาหรือที่ราบสูงรูปร่างต่างๆ   ดังกล่าวแล้ว ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือดินที่เกิดจากการพุพังทลายตัวของเศษหินภูเขาไฟใน บริเวณนั้นจะมีเศษธาตุต่างๆ เป็นอาหารของพืชสะสมอยู่ในดินอย่างมากมาย   กลายเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพราะปลูกและอุตสาหกรรม
          จากการที่แมกมาถูกดันและพ่นขึ้นมา   ทำให้แร่ต่างๆ ที่เดิมตกผลึกอยู่ใต้โลก   ถูกดันปะปนขึ้นมาบนพื้นผิวโลก   เมื่อลาวานั้นแข็งตัวจะกลายเป็นหินบะซอลต์ที่มีแร่แทรก   เมื่อเวลาผ่านไปหินบะซอลต์เหล่านั้นผุพัง   ทำให้แร่ในหินซึ่งบางชนิดเป็นอัญมณีหลุดออกจากหินและถูกพัดพาโดยกระแสลมและ น้ำ ไปสะสมตัวในบริเวณใกล้เคียง   เราจึงพบอัญมณีในชั้นตะกอนที่ทับถมอยู่ตอนบน   หินบะซอลต์จึงเป็นต้นกำเนิดอัญมณี   และเป็นแหล่งแร่อัญมณีที่สำคัญ
          จะเห็นว่าปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหว   มักจะเกิดสัมพันธ์กัน   และเกิดเฉพาะที่บางบริเวณของเปลือกโลกเท่านั้น

          แหล่งภูเขาไฟในโล

          ภูเขาไฟเกือบทั้งหมดในโลกนี้เกิดขึ้นในบริเวณรอยต่อของแผ่นธรณีภาคหรือ บริเวณที่มีรอยเลื่อนในระดับลึก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบๆ มหาสมุทรแปซิฟิก ที่เรียกกันว่า วงแหวนแห่งไฟ แผ่นธรณีภาคมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา   ในลักษณะรูปแบบที่แตกต่างกันมีทั้งมุด ชนกัน และแยกจากกัน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่แผ่นหนึ่งที่เป็นแผ่นทวีป   จะเป็นตะเข็บรอยต่อระหว่างแผ่นที่ยังประกบกันไม่สนิท   การมุดต่ำลงไปอย่างช้าๆ   จะเป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด   เพราะหินที่มุดลงไปถูกเปลี่ยนสภาพให้หลอมละลาย   เป็นแมกมาและจะถูกบีบดันให้พุ่งขึ้นมาหลอมละลายหินตามทางที่ผ่านในชั้นเนื้อ โลกจนขึ้นมาสู่พื้นผิวโลกในรูปของภูเขาไฟ   ดังนั้นถ้าเราจะหาแหล่งภูเขาไฟให้ดูจากแผนที่โลกที่แสดงการเคลื่อนที่ของ แผ่นธรณีภาค
 


การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาคในรูปแบบต่างๆ

แนวการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค   และแนวการเกิดภูเขาไฟ



ภูเขาไฟดอยผาคอกหินฟู   จังหวัดลำปาง

        

          ภูเขาไฟในประเทศไทย

          ประเทศไทยไม่มีภูเขาไฟที่มีพลังซึ่งอาจจะระเบิดอีก   เมื่อพิจารณาที่ตั้งของภูเขาไฟ   พบว่าอยู่นอกเขตการมุดตัวของแผ่นธรณีภาค   เราจึงโชคดีที่ไม่ต้องประสบพิบัติภัยขากภูเขาไฟระเบิด   จากการสำรวจทางธรณีวิทยา   ประเทศไทยเคยมีการระเบิดของภูเขาไฟมาก่อน    โดยมีหลักฐานจากหินภูเขาไฟหลากหลายชนิดที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ   การระเบิดช่วงสุดท้ายของภูเขาไฟในประทศไทย   คาดว่าเป็นหารระเบิดแล้วเย็นตัวให้หินบะซอลต์ที่มีอายุตั้งแต่ 1.8 ล้านปี ถึง 10,000 ปีที่ผ่านมา   ตัวอย่างบริเวณที่พบหินภูเขาไฟ   ได้แก่   จังหวัดลพบุรี กาญจนบุรี ตราด สระบุรี ลำปาง สุรินทร์ และศรีสะเกษ เป็นต้น   แสดงว่าครั้งหนึ่งแผ่นดินไทยเคยมีภูเขาไฟ   ภูเขาไฟสำรวจพบว่าส่วนใหญ่จะมีรูปร่างไม่ชัดเจน   ที่มีรูปร่างชัดเจนมากที่สุด (มองเห็นเพียงด้านเดียว)   ได้แก่ ภูเขาไฟ ดอยผาคอกหินฟู จังหวัดลำปาง ภูพระอังคาร และ ภูเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งจะมีปากปล่องเหลือให้เห็นเป็นร่องรอย   ทั้งนี้เพราะเป็นภูเขาไฟที่เกิดมานานแล้วถูกกระบวนการกัดกร่อนผุพังทำลายจน ไม่เห็นรูปร่างของภูเขาไฟชัดเจน
 

ภูเขาไฟภูพระอังคาร จังหวัดบุรีรัมย์

          หินบะซอลต์ในบริเวณจังหวัดจันทบุรี   ตราดและกาญจนบุรี   เป็นแหล่งกำเนิดอัญมณีที่มีค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ทับทิม ไพลิน และพลอยอื่นๆ ที่สวยงามจัดเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและมีชื่อเสียงของประเทศ   หินภูเขาไฟบางชนิดที่มีส่วนประกอบของแร่เฟลด์สปาร์   เมื่อเปลี่ยนสภาพก็จะเป็นแร่ดินขาว เช่น แหล่งแร่ดินขาว เขาปางค่า ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เป็นดินขาวที่เปลี่ยนสภาพมาจากหินไรโอไลต์ ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเซรามิก

เครื่องประดับจากอัญมณี

          ภูเขาไฟและหินภูเขาไฟบางแห่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว   ดึงดุดให้ผู้คนไปเยี่ยมชม เช่น บ้านน้ำเดือด   เขาหินเหล็กไฟ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์   วัดเมืองเก่าแสนตุ่ม ในอำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด   พบแท่งเสาหินบะซอลต์ยาวมีหน้าตัดเป็นรูปห้าเหลี่ยม และหกเหลี่ยม (ชาวบ้านเรียกเสาหินโบราณ) เกิดจากการเย็นตัวอย่างรวดเร็วบนผิวของลาวาในขณะที่ส่วนล่างยงร้อนอยู่ ทำให้เกิดแรงดึง   แล้วแตกออกเป็นแท่งจาบนลงล่าง   มีลักษณะคล้ายแท่งเสา  

ภาพเสาหินบะซอลต์ วัดเมืองเก่าตุ่ม อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด

















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น